Flash Cartoon
Animation
แอนิเมชัน ( Animation ) มาจากคำภาษาละตินว่า
“Anima” แปลว่า วิญญาณ หรือลมหายใจ ดังนั้น คำว่า Animation
จึงมีความหมายว่า การทำให้มีชีวิตจิตใจ ดังนั้น การ์ตูนแอนิเมชันจึงเป็นการนำภาพการ์ตูนที่เราวาดออกมานำเสนอให้มีชีวิตชีวา
หรือเรียกได้ว่าทำให้การ์ตูนเหล่านั้นมีชีวิตขึ้น
แอนิเมชันจะอาศัยภาพลวงตา
ทำให้เราเห็นและเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ได้ เช่น การมองเห็นภาพยานอวกาศที่เคลื่อนที่ได้
หรือมองเห็นลูกเทนนิสกระเด้งจากพื้น หรืออาจจะเห็นตั๊กแตนที่กำลังกระโดดไปมา
จะเห็นได้ว่าแอนิเมชันนั้นก็คือการนำภาพมาเรียงต่อกัน
ซึ่งภาพแต่ละภาพนั้นเราจะเรียนกว่า เฟรม ซึ่งจะคล้ายกับการเก็บภาพเป็นซ๊อตๆ
ทำให้เราเห็นว่าภาพแต่ละภาพเหล่านั้นทำให้เกิดความเคลื่อนไหวได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
หากในเฟรมแรก เป็นภาพของกระต่ายที่กำลังวิ่ง
โดยใช้ขาข้างขวาเพื่อรับน้ำหนักและในเฟรมถัดไป หรือเฟรมที่สอง
กระต่ายได้ออกแรงยกขาข้างซ้าย ถีบตัวจนกระทั้งลอยตัว
แล้วเปลี่ยนมาใช้ขาข้างซ้ายเพื่อรับน้ำหนักอีกครั้ง ทำเช่นนี้สลับกันต่อๆ
ไปเรื่อยๆ ในแต่ละเฟรม
เหล่านี้จีงเป็นหลักการสำคัญที่นักแอนนิเมเตอร์ทั้งหลายได้นำภาพนิ่งหลายๆภาพมาลำดับต่อเนื่องกันไป
ทำให้เราเห็นเป็นการเคลื่อนที่ต่างๆ
ตัวอย่างการสร้าง Flip book animation ที่อาศักหลักการของภาพลวงตา
ตัวอย่างการสร้าง Flip book animation ที่อาศักหลักการของภาพลวงตา
1. Toon Boom Studio
ได้รับการพัฒนาจากนักสร้างการ์ตูน 2D แอนิเมชันมืออาชีพ
จึงเป็นโปรแกรมที่รวมเครื่องมือที่เหมาะสมกับการใช้ทำแอนิเมชันไว้ในโปรแกรมเดียว
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างงานการ์ตูน 2D แอนิเมชัน
เพราะมีเครื่องมือที่ง่ายต่อการใช้งานและสามารถวาดลายเส้นโดยไม่ต้องใช้กระดาษในการวาด
หรือจะสแกนภาพที่วาดจากกระดาษไปทำแอนิเมชันต่อไปในโปรแกรมได้ และยังนำเข้าไฟล์ได้หลายรูปแบบ
สามารถทำงานร่วมกับเรื่องเสียงและยังมีเครื่องมือเคลื่อนย้ายกล้องในรูปแบบ 3 มิติ
จึงช่วยให้เราทำงานได้สะดวกรวดเร็วขึ้น รวมทั้งการนำเสนองานออกก็สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ
2. Swish MAX
เป็นโปรแกรมที่ใช้สร้างภาพเคลื่อนไหว
เพียงแค่ใช้เครื่องมือที่โปรแกรมมีมาให้เท่านั้นก็สามารถที่จะนำเสนองานในรูปแบบของไฟล์
Shock wave Flash (.swf) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการสร้างเว็บเพจได้
และยังสามารถแปลงเป็นไฟล์ avi
ซึ่งใช้ในการตัดต่อภาพยนตร์ได้อีกด้วย ซึ่งใช้งานได้ง่าย SwishMAX จะคล้ายกับแฟลช แต่ใช้ง่ายกว่าและมีฟีเจอร์น้อยกว่า
ดูตัวอย่างโปรแกรม https://www.youtube.com/watch?v=zuC7CeK0wpM
ดูตัวอย่างโปรแกรม https://www.youtube.com/watch?v=zuC7CeK0wpM
3. Adobe Flash Cs3 เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากค่าย
Adobe ทีพัฒนามาเพื่อสนับสนุนการสร้างงานกราฟิก
ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว สำหรับการนำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Flash
มีฟังก์ชันช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้างผลงานหลากหลายรูปแบบ
ตลอดชุดคำสั่งโปรแกรมมิ่งที่เรียกว่า Flash ActionScript
ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสามารถคอมไพล์ (Compile) เป็นโปรแกรมใช้งาน
(Application Program) เช่น การทำเป็น e-Card เพื่อแนบไปพร้อมกับ e-Mail ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น
ดูตัวอย่างโปรแกรม https://www.youtube.com/watch?v=LCZtGDSafNE
ดูตัวอย่างโปรแกรม https://www.youtube.com/watch?v=LCZtGDSafNE
งานสร้างสรรค์การ์ตูนแอนิเมชันที่ดี มักจะอาศัยขั้นตอนหลักๆ ด้วยกัน 3 ขั้นตอนคือ
1. ขั้นตอนก่อนการผลิต (Pre-Production)
ขั้นตอนก่อนการผลิต เป็นขั้นตอนในการเตรียมสร้างงานแอนิเมชัน
ในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วยเรื่องของการเตรียมเนื้อเรื่องให้เป็นภาพคร่าวๆ
ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ การเตรียมงบประมาณและทรัพยากรต่างๆ วาง Concept และพัฒนาแนวคิด
การวางหัวข้อเรื่อง การกำหนดเนื้อหาเรื่องราว เขียนสคริปต์ ออกแบบลักษณะของตัวละคร
วาดการ์ตูน การกำหนดทิศทางของศิลปะ และการสร้างสตอรีบอร์ด
เรียกว่าเป็นขั้นตอนเตรียมการจริงๆ
จนได้ภาพของเรื่องที่จะทำออกมาชัดเจนในระดับหนึ่ง
ตอนจบของขั้นตอนนี้เราก็จะได้ภาพคร่าวๆ ของเรื่องราวที่จะทำ
หรือที่มักจะเรียกกันว่า Storyboard
สำหรับเอาไว้ไปทำงานต่อไปขั้นตอนอื่น
2. ขั้นตอนการผลิต (Production)
ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนของการเริ่มลงมือทำงานแอนิเมชันจาก
Storyboard ที่เตรียมไว้คือหลังจากเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว
ก็จะเข้าสู่การจัดวาง Layout โดยการทำแอนิเมติก
การเตรียมและทดสอบเสียง กำหนดหลักการเคลื่อนไหวของตัวละครและภาพ
ไปจนถึงการทำแอนิเมชันส่วนต่างๆ จนหมดทั้งเรื่อง หลังจากเสร็จงานในขั้นตอนนี้แล้ว
เราก็จะได้การ์ตูนแอนิเมชันเต็มๆ หนึ่งเรื่อง ที่พร้อมจะนำไปตัดต่อ ตกแต่ง
แก้ไขเสียงเพื่อนำไปอวดสู่สายตาชาวโลกต่อไป
3. ขั้นตอนหลังการผลิต (Post-Production)
ขั้นตอนหลังการผลิต
จะเป็นขั้นตอนของการปรับแต่งเสียง การใส่ Preladers ใส่ Titles และ Credit ใส่ปุ่มหยุดหรือการเล่นซ้ำ
การนำเสนอชิ้นงานในรูปแบบอินเทอร์เน็ต หรือการนำออกในรูปแบบไฟล์วิดีโด
ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ เรียกได้ว่าพอจบขั้นตอนนี้
เราก็ได้การ์ตูนแอนิเมชันที่เสร็จสมบูรณ์ทั้งภาพและเสียงพร้อมจะนำไปใช้งานจริงๆจังๆ
การเริ่มคิดเนื้อเรื่อง
ก่อนที่เราจะลงมือสร้างการ์ตูนแอนิเมชันสักเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญคือ
การหาเนื้อหาเรื่องราวที่สามารถดึงดูดจิตใจของผู้ชมให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า “อะไร?
อะไรล่ะที่จะเกิดขึ้นต่อไป?” หลายคนมักสงสัยและถามว่า
เราจะหาเนื้อเรื่องมาจากไหนดี... คำตอบมีอยู่สองข้อครับคือ
“จากประสบการณ์ที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน” และ “จากแรงบันดาลใจและไอเดีย”
เมื่อได้ไอเดียแล้ว
ก็ต้องขยายไอเดียเหล่านี้ให้กลายเป็นเนื้อเรื่องในงานแอนิเมชันที่ต้องอธิบายอย่างละเอียดมากขึ้น
โดยอาศัยจินตนาการและความฝันที่มีอิสระ โดยพิจาณาเหตุการต่างๆ ประกอบดังนี้
·
จะสื่อสารแบบไหน
·
ใครคือผู้ชมของเรา
·
อะไรบ้างที่สามารถสร้างความขบขันได้
·
อะไรบ้าที่ดูแล้วน่าเบื่อ
จุดของเรื่อง ( The Pitch)
หลังจากได้แรงบันดาลใจมาแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงขึ้นตอนการตรวจสอบเล็กๆน้อยๆ
ก่อนจะมาลงลึกไปในรายละเอียดของเรื่องราว ก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำเรื่องอะไร
ต้องมาดูเรื่องนี้ก่อนคือ จริงๆ แล้วเราต้องการนำเสนออะไรกันแน่
เนื้อเรื่องส่วนใหญ่มักจะมีคติสอนใจ
หรืออาจจะกล่าวถึงใจความสำคัญของเรื่องเป็นโครงบทประมาณ 2 ประโยค หรืออาจจะให้คำสัก
2-3 คำ เพื่อเป็นจุดขายทางความคิด
เพื่อสื่อสารส่วนสำคัญของเรื่องราวซึ่งจะช่วยให้เราได้รู้อย่างแท้จริงว่า
เรื่องนี้จะบอกอะไรกับเราบ้าง อะไรบ้างที่สำคัญน้อย
และส่วนใดบ้างที่เราควรจะดัดออก
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเต่ากับกระต่าย ใครๆ ก็รู้ว่ามันคือเต่ากับกระต่ายวิ่งมาแข่งกัน
แต่จริงๆ แล้วจุดที่ต้องการนำเสนอของเรื่องนี้ก็คือ “ถ้ามีความหยิ่งผยอง
เชื่อมันในตัวเองมากเกินไป อาจจำทำให้ผิดพลาดและอาจเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่สุด”
โดยนำเสนอผ่านการแข่งขันของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องคามเร็ว
แต่ทะนงตนและประมาทในการแข่งขัน จึงทำให้แพ้เต่าซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคามเชื่องช้า
ดังนั้น ถ้าจะให้ได้เนื้อเรื่องมา
ก่อนอื่นควรจะมีที่มาของเรื่องและจุดประสงค์ของเรื่อง ดังนี้
ที่มา :
เท้าความกลับไปยังนิทานอมตะเรื่องหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี
เรื่องเต่ากับกระต่าย สมัยหนึ่งเต่าผู้มีความเฉลียวฉลาด
สามารถเอาชนะการแข่งขันความเร็วกับกระต่ายมาแล้ว
ต่อมาได้มีการแข่งขันกันเรื่อยมาเพื่อหาผู้ชนะที่แท้จริง
จนกระทั่งมาถึงในโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น
เรื่องราวดังกล่าวทำให้ผู้เขียนจินตนาการและเกิดแนวความคิดที่จะผสมผสานการแข่งขันระหว่างเต่ากับกระต่ายอีกครั้งในยุคปัจจุบัน
จึงเป็นที่มาของเรื่อง “จุ๊บจิ๊บ ภาค เต่ากับกระต่าย” (เนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการประยุกต์เรื่องราวจากนิทาน
เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเท่านั้น มิได้มีเจตนามี่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในนิทานที่แท้จริงแต่อย่างใด)
ฉากแต่ละฉากในภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะพัฒนามาจากบทประพันธ์ของนักเขียนเป็นส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยความรู้การถ่ายทอดจากภาษาเขียนเหล่านั้นออกมาเป็นภาษาภาพที่ให้ผู้ชมได้เข้าใจ
โดยปราศจากเสียงใดๆ เราควรพิจารณาคำและความหมายต่างๆ ของบทประพันธ์ให้ชัดเจน
ทำความเข้าใจให้กระจ่างชัด ดูว่าตัวละครควรเป็นอย่างไร และเป็นใครกันบ้าง
การเขียนโครงเรื่อง
เป็นการขยายแนวคิด ซึ่งอาจเป็นเพียงบันทึกย่อ 2-3 ประโยคของสถานการณ์บางอย่าง หรือเรื่องอย่างย่อๆ
โดยอาศัยการดึงใจความสำคัญออกเป็นประเด็นต่างๆ ออกมาให้เข้าใจง่ายขึ้น
ที่สำคัญต้องรักษาความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องให้ครบถ้วน
การเขียนโครงเรื่องส่วนใหญ่จะแบ่งเนื้อหาของเรื่อง โดยใช้โครงสร้างแบบสามองค์
เป็นการแบ่งเรื่องออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ แต่ละส่วนเราจะเรียกว่า องค์ (Act) ได้แก่
-
ส่วนของการเปิดเรื่อง (Beginning) เป็นการเริ่มต้นของการกำหนดฉากและแนะนำตัวละคร
ซึ่งเราจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้ชมเอาไว้ให้ได้
อาจจะให้จุดถึงดูดจากตัวละครซึ่งจะนำไปสู่การแสดงในเนื้อเรื่อง
ช่วงนี้มีจุดประสงค์ตรงที่อยากให้คนดูรู้ที่มาคร่าวๆ
ว่าตัวละครเป็นอย่างไรมีนิสัยอย่างไร มีปมด้อยหรือจุดเด่นตรงไหน
แล้วก็บรรยากาศรวมๆ ของสถานที่ว่าเป็นที่ไหนอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
ในเรื่องเต่าจะมีนิสัยทะนงตัวและชอบเอาชนะจึงเป็นที่มาของการแข่งขันที่น่าติดตาม
-
ส่วนของการดำเนินเรื่อง (Middle)
ช่วงกลางเรื่องจะเป็นการแสดงออกในลักษณะต่างๆของตัวละคร
เป็นการสร้างอารมณ์ให้ผู้ชมผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่จุดสนใจของเรื่อง
เป็นช่วงที่เรื่องร่างต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อุปสรรคเริ่มมา ปริศนาเริ่มเกิด อะไรๆ
ก็ดูจะไม่เป็นใจ ชีวิตมันดูมีอุปสรรคเต็มไปหมด
ถ้าต้องการเขียนเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ที่มีความยาวมากๆ
ตรงจุดนี้เองจะต้องพัฒนาลักษณะนิสัยต่างๆ ของตัวละคร และกำหนดเค้าโครงเรื่อง
ให้น่าสนใจ
-
ส่วนของการปิดเรื่อง (End) บทสรุปของเรื่องควรมีเนื้อหาที่กล่าวถึงช่วงก่อนหน้าประมาณ
2-3 ซีน ถ้าเราสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง
บทสรุปของเรื่องจะสนับสนุนความเข้มแข็งของเรื่องได้ดีขึ้น
บทสรุปที่ดีจะช่วยสร้างการจดจำ และดึงดูดให้ผู้ชมกลับมาดูอีกครั้ง
และที่สำคัญส่วนนี้เป็นส่วนที่มี Climax
ของเรื่องรวมอยู่ด้วย ดังนั้น จะจบแบบไหนอย่างไร
ตรงนี้เป็นจุดที่ต้องดึงอารณณ์คนดูออกมาให้ได้อย่างที่ต้องการมากที่สุด
มาลองดูการแบ่งส่วนเนื้อเรื่องของ “จุ๊บจิ๊บ ภาคเต่ากับกระต่าย”
เป็นตัวอย่าง
-
ส่วนของการเปิดเรื่อง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเต่าน้อยผู้เย่อหยิ่งทะนงตนตัวหนึ่งกำลังขับรถเล่นอยู่ในเมืองทันทีที่สัญญาณไปเปลี่ยนเป็นสีแดงจึงได้พบกับกระต่ายน้อยจุ๊บจิ๊บกำลังขับรถมาเทียบพอดี
-
ส่วนของการดำเนินเรื่อง
ด้วยความอวดเก่ง
เต่าน้อยจึงได้เบิลเครื่องใส่ พร้อมกับเชิดหน้าด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า
รถเต่างามหรูนี้สามารถเอาชนะกระต่ายน้อยได้อย่างสบาย สบาย
โดยที่ยังไม่รู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทันทีที่สัญญาณเปลี่ยนเป็นไฟเขียน
เต่าน้อยก็ออกรถแบบสุดตัวคิดว่ากระต่ายน้อยไม่สามารถตามทันได้
-
ส่วน Climax หรือปิดเรื่อง
กระต่ายน้อยนิ่งสงบอย่างใจเย็น
เลื่อนมือไปเปิดอุปกรณ์พิเศษในรถ จากนั้นก็ออกตัวด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
วิ่งแซงเต่าน้อยผู้หลงในความมั่นใจของตนเองเสียจนหมดท่าไปเลย 555+
หลังจากได้เรื่องราวคร่าวๆ
มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ
จัดการทำเรื่องราวที่ได้มาให้มีรายละเอียดเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ด้วยการเริ่มจาก Screenplay หรือการเขียนบทนั่นเอง
การเขียนบทก็คือ
การเขียนออกมาว่าแต่ละฉากเกิดอะไรขึ้นบ้าง บรรยากาศเป็นอย่างไร ที่ไหน ใครพูดอะไรบ้าง
ใครทำอะไรบ้าง อารมณ์ไหนกันบ้าง เอาให้ละเอียดที่สุดเหมือนเขียนนิยาย
แต่ให้แบ่งทำเป็นฉากๆไป
ความหมายของคำศัพท์พื้นฐานในการเตรียมงานแอนิเมชัน
ช็อต (Shot) คือ การถ่ายภาพยนตร์ในครั้งหนึ่งที่มีช่วงเวลาที่ต่อเนื่องโดยไม่หยุด
จังหวะการทำงานของกล้องในการถ่ายบันทึกภาพยนตร์เป็นช่วงๆ นี้
ต้องการสร้างชุดของเนื้อหาความหมายเป็นหน่วยๆ อาจมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น
อยู่ในสถานที่เดียวกันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คงความต่อเนื่องด้วยสถานที่เวลา
ในอีกความหมายหนึ่งของช็อตคือ ระยะห่างระหว่างกล้องถ่ายกับวัตถุในฉากหรือมุมของการวางกล้องกับวัตถุ
หรืออีกแบบหนึ่งคือ การถ่ายแต่ละช็อตอย่างแตกต่างไม่ต่อเนื่องทั้งสถานที่
เหตุการณ์ และช่วงเวลาก็ได้
ฉากหรือซีน (Scene)
ในทางการถ่ายภาพยนตร์หมายถึง สถานที่ (Place) หรือฉาก (Set) ที่จัดขึ้นหรือดัดแปลงขึ้น เพื่อใช้ในการแสดง หรือเพื่อการถ่ายทำภาพยนตร์
ในการประกอบเรื่องของภาพยนตร์ซีนจึงเป็นหน่วยย่อยของเรื่องเล่าด้วยภาพ
ซึ้งประกอบด้วยซ็อตที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกัน
ซีเควนซ์ (Sequence) คือ ตอน
หรือช่วงเหตุการณ์หนึ่งของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ซึ่งเกิดจากซีนหลายๆ ซีนมารวมกัน
โดยมีความสมบูรณ์ของเนื้อหาที่บอกให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวในช่วงเวลา
หรือเหตุการณ์หนึ่งๆ ซีเควนซ์หนึ่งๆ
ของภาพยนตร์อาจประกอบขึ้นด้วยซีนเพียงชีนเพียงชีนเดียว หรือเกิดจากซีนหลายๆ
ซีนมาประกอบกันขึ้นก็ได้
และอาจเป็นได้ที่ซีเควนซ์หนึ่งที่สามารถเล่าเรื่องราวหนึ่งๆ ให้ผู้ชนเข้าใจในเหตุการณ์
หรือความหมายของภาพยนตร์ช่วงนั้นให้เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์
สมคริปต์ (Script)
เป็นขั้นตอนในการจับใจความสำคัญของเนื้อเรื่องให้ออกมาในแต่ละฉากพร้อมทั้งกำหนดมุมกล้อง
เทคนิคพิเศษ รวมถึงระยะเวลาของการเคลื่อนไหว
ซึ่งจะถูกกำหนดไปด้วยขอบเขตของเวลาและสถานที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น